ผมเคยมีความคิดว่าทำไมเมล็ดกาแฟคั่วบ้านเรา (กาแฟไทย) มันแพงไปไหม๊บางที่เห็นเมล็ดกาแฟคั่วโลละ 500,700,หนักหน่อยก็ว่ากันเป็นพัน แต่หากกาแฟนั้นมีความพิเศษจริงเช่น มีรสชาติที่โดดเด่น, กาแฟมีมิติที่ลึก, กลิ่นหอมที่เรียกว่าไม่ต้องดมแล้วดมอีกหอมมาแต่ไกลอันนี้ค่อยน่าฟังหน่อย แต่ก็อีกนั้นแหละต้นทุนกาแฟแต่ละโรงคั่วแตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง หากถามว่ามิสเตอร์ลีมีต้นทุนอะไรที่มากที่สุดคำตอบคือต้นทุนการวิจัยครับ ( โอ้โหพูดซะเท่เลย ) หมายถึงการเดินทางเสาะหากาแฟที่ดีเป็นเบื้องต้นเพื่อให้เกิดความมั่นใจทั้งในแง่กลิ่นรสความสะอาดความสมบูรณ์ของกาแฟ
และที่เราคิดว่าต้นทุนที่มากถึงมากที่สุดคือ “เวลา” หมายถึงว่ากาแฟหนึ่งตัวที่จะผ่านมือผ่านปากเราทั้งคู่นับว่าไม่ง่ายเลยไหนจะต้องคั่วหลายๆแบทเพื่อประเมินกลิ่นรสให้ชัดเจนไม่ตกหล่นชิมแล้วชิมอีกคั่วแล้วคั่วอีก นี่คือเหตุผลที่เราสองคนตกลงใจร่วมกันไว้เมื่อเกือบ 10ปีที่แล้วว่าเราจะต้องฝึกทักษะการคั่วและการชิม ( Roasting&Cupping ) และจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเมล็ดกาแฟให้ได้
เวลาเดินทางผ่านมาไวพอสมควรเราสองคนเก็บเกี่ยวทักษะต่างๆในหลายๆเรื่องเกี่ยวกับการมองหาเมล็ดกาแฟ, การคั่วกาแฟ, การชิมกาแฟ ทำให้เราสังเกตุเรื่องราวและเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับวงการกาแฟในแง่พัฒนาการต่างๆ ทำให้เรามีข้อสรุปเบื้องต้นว่าเราจะต้องยังคงพัฒนาทักษะเรื่องต่างๆดังที่กล่าวมาข้างต้นเหตุผลง่ายๆก็คือ “ทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา”
ดังนั้นกาแฟก็คงไม่มีข้อยกเว้นเราจึงต้องพัฒนาในด้านต่างๆโดยเฉพาะคุณภาพของเมล็ดกาแฟคั่วที่มิสเตอร์ลีทำอยู่เสมอให้ดียิ่งๆขึ้นรวมถึงการมองหากาแฟใหม่ๆ, เบลด์กาแฟใหม่ๆ,เทคนิคการคั่ว, ทักษะการชิม และอื่นๆ ท่านเจ้าของร้านที่เปิดร้านมาเป็นเวลาพอสมควรคงมีความคิดแว๊บขึ้นมาในใจว่าอยากลองกาแฟใหม่ๆเห็นร้านอื่นเค้ามีกาแฟแปลกๆเก๋ๆ แล้วเราละ นั่นคงเป็นเหตุผลเพียงพอที่เราคงจะต้องใส่ใจในกาแฟของเราเองโดยอาจจะไปงานกาแฟที่จัดขึ้นบ่อยๆหาซื้อเมล็ดกาแฟจากโรงคั่วต่างๆในงานแล้วหาวันดีๆซักวันเทสติดๆกันเลยเพราะฟิลลิ่งในการชิมยังกรุ่นๆอยู่